Tag Archives: สิ่งประดิษฐ์

การค้นคว้าวิจัยและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์

การค้นคว้าวิจัย หมายถึง กระบวนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวกับตัวเราหรือโลกที่เราอาศัยอยู่ เพื่อที่จะตอบคำถามหรือแก้ปัญหาต่างๆ เมื่อเลือกหัวข้อที่จะทำโครงงาน ควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบว่า โครงงานของเราจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไรบ้าง ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์มักจะเป็นการค้นคว้าเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ส่วนในทางวิศวกรรมศาสตร์จะเป็นเน้นกระบวนการสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ หรือพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติม

การตั้งคำถามนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการสร้างสรรค์งานทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งการตั้งคำถามจะนำไปสู่การตั้งสมมติฐานในรูปแบบ “ถ้า……. แล้ว………” จากนั้นจะนำเราไปสู่การสังเกตและการทดลอง

1.หาหัวข้อ
พยายามคิดและหาสิ่งที่เราต้องการจะทำโครงงาน ซึ่งอาจจะมาจากงานอดิเรก ความสนใจส่วนตัว หรือการสังเกตสิ่งใกล้ตัว ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่เราต้องการหาทางแก้ไข โดยทั่วไปแล้วจะมีเพียง 1 หรือ 2 หัวข้อเท่านั้น

2.ค้นคว้าหาข้อมูล
พยายามค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับหัวข้อที่คิดไว้จากวารสารวิชาการ
ห้อง สมุดหรืออินเทอร์เน็ต หรือ สังเกตเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง เก็บรวบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว พยายามค้นหาผลลัพธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือผลลัพธ์ที่เราไม่คาดคิด พูดคุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวกับหัวข้อที่ต้องการจะทำโครงงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตระเตรียมหรือสร้างเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ในการทดลอง

3.จัดการ
จัดการรวบรวมทุกๆ สิ่งที่ค้นคว้ามา เราควรวิเคราะห์และสรุปความรู้ที่ค้นมาอย่างเป็นระบบ และเน้นที่แนวความคิดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นโดยเชื่อมโยงความรู้ที่ได้ค้นมา กับหัวข้อที่สนใจ เพื่อที่จะได้กำหนดขอบเขตของโครงงานภายใต้เวลาที่มีและตั้งสมมติฐานได้

4.บริหารเวลา
วางแผนกำหนดกิจกรรมต่างๆ ที่เราจะต้องทำใส่ลงในตารางเวลา กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทดลองและการเก็บข้อมูลอาจจะต้องใช้เวลามาก เนื่องจากการทดลองเพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งอาจจะไม่เพียงพอ ควรจะวางแผนในการทำการทดลองซ้ำ ควรจัดสรรเวลาไว้สำหรับการเขียนรายงานและการจัดแสดงผลงานด้วย

5.วางแผนการทดลอง
เมื่อเรามีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการทำโครงงานแล้ว ให้ลองเขียนแผนการทดลอง ควรอธิบายถึงวิธีทำการทดลองและสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นขั้นตอน โดยอาจจะเลือกวิธีการอธิบายโดยแบ่งเป็นหัวข้อย่อยหรือเขียนขั้นตอนของกระบวน การทำงานออกมาเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

6.ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา
การทำโครงงานที่ดี การสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรหาเวลาพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยวกับโครงงานที่จะทำและแผนการทดลอง อย่างสม่ำเสมอ

7.ทำการทดลอง
ออกแบบการทดลองด้วยความรอบคอบ ระหว่างทำการทดลอง ควรจดบันทึกรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทดลอง การวัดผลและสิ่งที่สังเกตได้ อย่ามั่นใจในความจำของเรามากเกินไป เพราะอาจหลงลืมได้ การทำการทดลองควรเป็นไปอย่างรอบคอบ ตัวอย่างเช่น ควรที่จะเปลี่ยนทีละตัวแปร และทำการทดลองควบคุมด้วย นอกจากนี้ ควรมีจำนวนตัวอย่างเพียงพอที่จะทำการทดลองอย่างน้อย 5 ตัวอย่าง

8.วิเคราะห์ผล
เมื่อทำการทดลองเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ วิเคราะห์ดูว่าผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่อย่างไร การทดลองแต่ละครั้งมีขั้นตอนการทดลองเหมือนกันหรือไม่ มีคำอธิบายอื่นๆ อีกหรือไม่ที่เรายังนึกไม่ถึง การสังเกตการณ์การทดลองแต่ละครั้งมีข้อผิดพลาดใดๆหรือไม่ การทำความเข้าใจถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดนั้นอาจจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ควรทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเพื่อสนับสนุนผลการทดลองด้วย

9.สรุปผล
เราอาจจะสรุปผลการทดลองโดยการระบุถึงตัวแปรที่สำคัญ การเก็บข้อมูลที่มีเพียงพอ และสรุปว่า การทดลองนั้นๆ ยังจำเป็นที่ต้องทดลองเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ควรเปิดใจกว้าง ไม่ควรเปลี่ยนแปลงผลการทดลองเพียงเพื่อให้ได้ผลตรงกับทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มา การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นที่ผลการทดลองจะต้องตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ เพราะการทดลองถือเป็นเพียงการพิสูจน์สมมติฐานเท่านั้น

สถานศึกษามีส่วนช่วยในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เยาวชน

ในปัจจุบันมีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ กลายเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ อีกทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆไม่ได้แสดงถึงด้านวิทยาการที่ก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะสิ่งประดิษฐ์สามารถเป็นสินค้าช่วยส่งออกได้

ในประเทศไทยมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ยังขาดทางด้านการพัฒนาไปสู่การผลิตเป็นสินค้า เพราะนอกจากจะสอนให้รู้จักคิดแล้วต้องสอนการรู้จักนำไปใช้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะสิ่งประดิษฐ์หลายๆชั้นเกิดขึ้นภายในสถานศึกษา และจบลงในสถานศึกษาด้วยเช่นกัน งๆที่สิ่งประดิษฐ์ต่างๆสามารถนำไปพัฒนาเป็นสินค้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ยกตัวอย่างในต่างประเทศเมื่อมีคนคิดไอเดียขึ้นมา เขาก็จะเริ่มต้นในการประดิษฐ์เพื่อนำไปทดลองใช้ จากนั้นจึงนำไปเสนอต่อวงการธุรกิจทีเกี่ยวข้อง ถ้าองค์กรธุรกิจเหล่านี้เห็นประโยชน์ เขาจะซื้อไอเดียเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้า ถ้าคนไทยสามารถทำได้แบบในต่างประเทศจะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้

การที่เด็กและเยาวชนไม่ค่อยมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆนั้น ไม่ใช่เพราะไม่มีการคิด แต่ยังขาดในด้านการนำเสนอที่ไม่ชัดเจนมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากที่การศึกษามุ่งเน้นให้ความรู้แต่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า ที่จะสอนให้ผู้เรียนนำความรู้มาประยุกต์ใช้ สิ่งนี้ทำให้คนไทยคิดไม่เป็น ถึงแม้ว่าจะมีความคิดดีๆแต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถถ่ายทอดออกมายังไง แม้แต่ในสถานศึกษาเองที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำโครงงานมากมาย เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์ แต่แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไม่ให้ความสำคัญไปกว่าผลงานที่ใช้ในการนำเสนอเท่านั้น ในส่วนของสถานศึกษาควรที่จะให้ความสำคัญมากกว่านี้ ถึงแม้จะเป็นไอเดียที่ดูหลุดโลก แต่เมื่อเรานำมาพัฒนาทางด้านวิทยาการ ก็สามารถที่จะทำให้ไอเดียเหล่านั้นกลายมาเป็นผลงานที่สามารถจับต้องได้จริง และสามารถแสดงออกถึงทรัพย์สินทางปัญญาได้ดีด้วย

เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความคิดดีๆ เพียงแต่ขาดการสนับสนุน สิ่งนี้เองคือหน้าที่ของผู้ปกครองและสถานศึกษาที่จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ มีโอกาสในในการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ของตนเอง ไม่แน่ในอนาคตสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเปลี่ยนโลกก็ได้